วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

รัก

การที่เรารักใครสักคน อาจ ไม่ต้องการเหตุผล
การที่เรารักใครสักคน อาจ ไม่สนว่าเขาเป็นใคร
การที่เรารักใครสักคน อาจ ไม่แน่ว่าเขาจะรักตอบ
การที่เรารักใครสักคน อาจ ไม่แน่ว่าเราจะสมหวัง
การที่เรารักใครสักคน อาจ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
การที่เรารักใครสักคน ไม่ได้หมายความว่า เธอจะแต่งงานกับเรา
การที่เรารักใครสักคน ไม่ได้หมายความว่า เราทั้งคู่จะเหมือนหรือแตกต่างกัน
การที่เรารักใครสักคน อาจ ไม่จำเป็นต้องอธิบายเป็นภาษา
การที่เรารักใครสักคน อาจจะ ทำให้เราเสียใจและผิดหวัง
การที่เรารักใครสักคน อาจจะ ทำให้เราเสียน้ำตา
การที่เรารักใครสักคน ไม่ได้หมายความว่า เราจะอยู่ใกล้กัน
การที่เรารักใครสักคน ไม่ได้หมายถึง การครอบครองเป็นเจ้าของ
การที่เรารักใครสักคน ไม่ได้หมายความว่า เราต้องคิดเหมือนชีวิตมันสั้น

การที่เรารักใครไม่จำเป็นต้องไปหวังให้มันเป็นไปดังใจต้องการ

..................................................................................................

เพราะเราทั้งคู่ ต่างก็มาจากที่แตกต่างและครอบครัวที่แตกต่างกัน

แต่เมื่อได้พบกัน ก็น่าจะเข้าใจและยินดีในความสุขของกันและกัน

คำว่ารักคืออะไร อาจเป็นได้ทั้งสุขและทุกข์

อาจเป็นได้ัทั้งดีใจและเสียใจ

อาจเป็นได้ทั้งความหวังและการทำลาย

แต่ขอให้คุณเชื่อในสิ่งที่คุณทำแค่นั้นก็พอ

เพราะนั่นเป็นหนทางที่คุณเลือกเอง

จงยินดีในสิ่งที่เลือกและหัวง ดีกว่า

เพราะ อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ยังได้เดินก้าวไป

เพราะเวลาไม่คอยใคร และก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดรอคุณอยู่ข้างหน้า

แต่อย่าง น้อย คุณก็ยังมีคนคนหนึ่ง ที่จะยืนเคียงข้างคุณ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์

ไม่ว่าเศร้าหรือ เสียใจ ไม่ว่าล้มหรืออ่อนแอ

คุณยังมี คนคนนี้ที่จะเดินเคียงข้างคุณและอยู่ข้างคุณ

แม้ว่าเขาคนนั้นอาจไม่ดีพร้อม หรือไม่สามารถร่วมชีวิตกับคุณ

แต่เขาก็จะเป็นเพื่อนคุณและเป็นทุกอย่างของคุณ

ในยามที่คุณต้องการใครสักคน

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บางเวลา

บางเวลา ที่ฉันขาด เธอจะเติมให้กัน

บางเวลา
ที่หนาวสั่น เธอจะเป็นอุ่นไอ

บางเวลา
ที่แพ้มา ก็ยังมีเธอเข้าใจ

บางเวลา
เลวร้าย ฉันยังมีเธอ

บางเวลา
ฉันทำผิด เธอยังยอมอภัย

บางเวลา
ฉันร้องไห้ เธอยังให้ไหล่อิง



ไม่ใช่คนที่โชคดี ที่เกิดมามีทุกสิ่ง


แต่ฉันโชคดีจริงจริง ที่มีเธอ

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ฤดูการจับฟ้า

ฤดูฝน... ฝนมาแล้ว ฝนมา
ฝนหอบเอาความเหงา เหว่ว้า มาเยือน...

เธอสัญญา... และสัญญาว่าเมื่อถึงวันหนึ่งซึ่งเหมาะสม เธอจะกลับมา
มาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวบนหน้ากระดาษให้คุณได้สัมผัส
แล้ววันหนึ่งวันนั้นคือวันนี้
ผมพร้อมแล้วสำหรับการยลโฉมความงามเธออีกครั้ง

เราเริ่มรู้จักกันที่หน้าต่างบานเดิมบานนี้เมื่อหลายปีก่อน
ในคืนนั้นเธอมาพร้อมของฝากในสายฝนเมื่อรัตติกาลยามค่ำที่กล่อมแสงดาวจนจางลง
และคืนนั้นที่ดูคล้ายกับคืนนี้เธอจากผมไปพร้อมกับประโยคที่ว่า


“ฉันคือส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่หอบนับพันความรู้สึกมาฝากผู้เป็นความรู้สึกหนึ่งของฉัน...
หากคืนนี้มีสิ่งใดพรากเราให้จากกัน ขอให้สิ่งนั้นนำเรามาพบกันอีกครา”

เพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความแค้น โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความริษยา โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความหลังอันหดหู่ โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความรัก โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับกามารมณ์ โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความโลภ โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการบ้าอำนาจ โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับเกียรติยศ โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอุดมการณ์ โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับสุรายาเสพติด โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน
ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอบายมุข โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

มีคนไม่กี่คน !

ที่ตระหนักรู้ว่า แท้ที่จริงนั้นเรามีเวลาอยู่ในโลกเพียงน้อนนิด, เราเกิดมาทำไม,


และเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเวลาอันแสนสั้นนั้น ?

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชีวิต คือ การเดินทาง จริง หรือ ??

มีคนเคยบอกว่าชีวิต คือการเดินทาง
ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ละวัน เราก้าวไปบนเส้นทางที่เราเลือกจะเดินและเราเลือกที่จะเป็น
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครอยากให้มันผิดพลาด
อยากให้หนทางของเรานั้นสวยงามไปแบบที่เราคิด
บางวัน เราก้าวเดินอย่างรวดเร็ว .. จนแทบจะวิ่งด้วยความเชื่อมั่น
บางวัน ใจดวงเดิมของเรามันกลับฝ่อ เราแทบจะหยุดนิ่ง หมดแรงไม่เข้าใจกับหลายๆสิ่งที่ไม่ได้คาดไว้
บางวัน เราจึงขอ ให้เดินช้าลงสักนิด เพื่อจะได้มีเวลาทบทวนหรือชื่นชมทิวทัศน์ข้างทางบ้าง
จนบางที ก็มารู้ตัวว่า เราอาจไปผิดทางด้วยซ้ำ หรือสงสัยว่าตัวเองกำลังหลงทางอยู่หรือป่าว
แต่นั่น ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ได้เจอกับทางออก
เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ลองไปในที่ๆ ไม่เคยไป หรือเราอาจกำลังจะไปในที่ ที่ ไกลกว่าเดิม
หากชีวิต คือการเดินทางจริงๆ เมื่อมีเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดหมายปลายทาง
และมีทางออกให้กับทุกเส้นทางเสมอ
ให้เวลากับหนทาง แล้วมัน จะพาเราไปเจอกับเรื่องใหม่ๆ
และแม้บางครั้ง หนทางจะพาเราย้อนกลับมาเจอเรื่องเดิมๆ อย่างหนีไม่พ้น
เราอาจต้องหัวเราะ และ ร้องไห้ ไปอีกสักกี่ครั้ง
ก็ไม่เป็นไรหรอก
เพราะทุกขณะที่ผ่านไป .. เรากำลัง ได้บทเรียนเพิ่มมากขึ้น
และจงทำความรู้จักกับความรู้สึกของตัวเองให้มากขึ้น
ให้ตัวเองได้ลองทำ แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Sum Mer ที่รัก !!


ระยะทางระหว่าง สองเรา..
มีช่องว่างคงที่
ไม่ว่า ..เวลา จะผ่าน ไปเร็ว หรือช้าแค่ไหนก็ตาม
เทอ..คือคนที่เราอยากจะเก็บเอาไว้ให้ นานที่สุด
เวลาที่สนุก กับเทอ.. เราอยากหยุดเวลาไม่ให้มันหมุนไปไหน
ไม่มีคำว่า ยุ่ง
ไม่มีคำว่า เหนื่อย
ไม่มีคำว่า ไม่ได้
แม้ วันเวลาจะยังหมุนไป ..
จนแทบ นับวัน นับปี ไม่ไหว
ไม่ว่า เทอ จะ อยู่ที่ไหน
จงรู้ไว้
แม้ไม่เคยมองหา..ฉันมองเห็นเทอ เสมอ
...
..
.
Sum Mer ที่รัก
เรา พบกัน ที่ ตรงนี้
ที่ ที่ มีบทเพลงแห่งชีวิต เป็นลำนำ
พบ เพื่อ จาก
เป็นสัจธรรม ของ ชีวิต
ไม่มีใครปฏิเสธได้..
...
..
.
ฉัน และ เทอ
เราต่างก็ ผ่าน เรื่องร้ายๆ มาด้วยกัน
เราต่างก็เป็นประวัติศาสตร์ของกันและกัน
เราผ่านความทุกข์ จนมาเจอความสุขด้วยกัน
เราหัวเราะ..ด้วยกัน ..จนรู้ว่า
ถ้าไม่ร่วมทุกข์ กันมาอย่างหนัก
เรา คง ไม่ สุข ร่วมกัน ได้ ขนาดนี้..
ปล..... ขอบคุณ ที่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ ... !!

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Wood Stock In Thai

มีคำกล่าวอ้างประโยคหนึ่งว่า ‘ถ้าคุณจำวู้ดสต็อคได้ แสดงว่าคุณไม่ได้อยู่ที่นั่นจริง’ ทำไม ก็เพราะว่า
ยุคสมัยนั้น พวกเขาเรียกกันเองว่า 'Woodstock Nation' มันเป็นเหมือนเครื่องหมาย
เสมือนความ Cool หรือ Hip แห่งยุคสมัย ที่ว่าใครได้ไปนั้น เท่ เหลือหลาย

แต่ั้นั้นแหละ ก็มีทั้งพวกที่ไปไม่จริง แอบอ้างเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ กับพวกที่ไปจริงแต่จำอะไรไม่ได้เลย เพราะมันเป็นงานที่ มั่ว ที่สุด ทั้ง ขี้โคลน กัญชา แอสแอลดี และ ฟรีเซ็กซ์

' วู้ดสต็อค ' ไม่ใช่เป็นเพียงงาน 'มหกรรมดนตรี' แต่มันคือ การแสดงพลังทางดนตรี
และพลังของหนุ่มสาว ที่ต่อต้าน “สถาบัน” ในชื่อ Hippie ณ ทุ่งนา เมืองเบทเฮล รัฐนิวยอร์ก
ผู้คนประมาณ 450,000 คน กับช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 15 – 17 สิงหาคม 1969
ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา และเสียงดนตรี

เมื่อมหาชนเกือบครึ่งล้านมารวมตัว สาธารณูปโภคไม่เพียงพอ อาหาร น้ำ สุขา
พอฝนเทลงมา ก็ไปกันใหญ่กลายเป็นทะเลโคลน ผู้เสพยาที่บ้าคลั่ง
เดินแก้ผ้าไปตามที่สาธารณะ ทำเอาชาวเมืองเบทเฮล แตกตื่นไปทั่ว


เหตุการณ์ที่น่าสนใจ อื่นๆ ใน Woodstock คราวนั้น มีดังนี้ มีผู้ป่วยมารับการรักษา
ที่ห้องพยาบาลสนามถึง 5,162 คน มีเด็กคลอดใหม่ในงานหลายคน
มีผู้เสียชีวิต 3 ราย รายแรก เสพย์ยาเกินขนาด...
รายที่สองพลัดตกลงมาจากหอไฟส่องหน้าเวที
และรายสุดท้าย ถูกรถขนของเข้างานชนตายก่อนหน้างานเริ่ม 1 วัน
มีผู้ถูกจับกุมไปสงบสติ อารมณ์ที่เมืองเบทเฮล 177 คน
มีผู้นำบัตรมาขึ้นเงินคืน 18,000 ใบ
เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปถึงงานได้ เพราะรถติดอยู่บนถนนที่จะเข้าสู่งาน
Max Yasgur เจ้าของทุ่งนาแห่งตำนาน
เสียชีวิตในปี 1973 ทุกวันนี้ยังมีอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงความมีน้ำใจ
เป็นก้อนหินแกะสลักรูปนกเกาะบนกิ่งไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวู้ดสต็อค
ภายใต้รูปยังเต็มไปด้วยรายชื่อศิลปิน น้อย ใหญ่ ที่มาร่วมแสดงในคราวนั้น
เมื่อย้อนมาดูบ้านเมืองเรา ผู้คนที่เคยเป็นวัยหนุ่มสาว

ในคราวการเปลี่ยนแปลงประเทศ เมื่อ 14 ตุลา 16

ก็คล้ายกับเหล่า Woodstock Nation แตกต่างแค่วิธีการ การต่อสู้ในรายละเอียด แต่ก็ถวิลหาในสังคมที่ดีงาม
แต่เมื่อกาลเปลี่ยนไป ในปัจจุบัน
คนก็เปลี่ยน เมื่อขวา-ซ้าย แทบแยกไม่ออก
บางคนก็เคยมี อุดมการณ์ เหลือเพียง อุดมกิน
บางก็ย้ำในเจตนาเดิิมไม่แปรเปลี่ยน
เอาเถอะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่า ชนชาติไหน ภาษาไหน หรือ เรา เจตนาทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อผู้ใด เวลา จะเป็นคำตอบ
แม้คำตอบอาจจะยังคงอยู่ในสายลมก็ตามแต่